March 16, 2007

Fall Out Boy กลับมาอีกครั้งอัลบั้มใหม่ Infinity On High






Label : Universal

ขณะที่ Pete Wentz มือเบสของวง เดินขึ้นไปรับรางวัล MTV Awards จากเพลง Sugar We’re Going Down เขาคิดอยู่อย่างเดียวว่า “อย่าหลุดคำหยาบออกมานะเฟ้ย” จากนั้นไม่นาน Fall Out Boy ก็มีชื่อเข้าชิง Grammy Awards สาขาศิลปินหน้าใหม่ยอดเยี่ยม และชื่อของพวกเค้าก็ไม่หยุดแค่นั้นกับ Teen Choice Awards อีก 3 รางวัล และซิงเกิ้ล Dance Dance ก็คว้ารางวัล MTV Music VDO Awards สาขาเพลงที่ได้รับเลือกจากคนดูมากที่สุด และยังเข้าชิงในสาขามิวสิควิดีโอศิลปินกลุ่มยอดเยี่ยมอีกด้วย แหม ก็นาย Pete ได้ใจสาวไทยกรี๊ดกันซะขนาดนั้นนี่นา
..................................................................................
แม้จะประสบความสำเร็จมากมายสร้างชื่อจากอัลบั้มชุดที่แล้ว หนุ่มๆ วงนี้ก็ยังยึดถือแนวทางในการทำเพลงแบบตัวเองอย่างเหนียวแน่น ไม่ใช่ว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเอาซะเลย แต่นั่นคือการทำเพลงในแบบที่พวกเขารักและไม่ได้ทำเพียงเพื่อเอาใจกระแสเท่านั้น Wentz กล่าว “ ผมไม่ได้ถือว่าดนตรีเป็นอาชีพ แต่เป็นอะไรที่มันมีส่วนกระทบถึงคุณ” เฉกเช่นเสียงกรี๊ดต้อนรับของแฟนๆ นับพันเวลาที่พวกเขาขึ้นเวทีนั่นไง Patrick Vaughn Stumo นักร้องนำและมือกีตาร์ย้ำว่า เขาไม่ชอบที่คนมักจะมองว่างานดนตรีเป็นที่หาเงินมากกว่ามองว่ามันเป็นงานศิลปะ
..................................................................................
ความสำเร็จจาก From Under The Cork Tree ไม่ได้ทำให้หนุ่มๆ กลุ่มนี้ได้ใจ หรือกร่างแต่อย่างใด แต่ยังคงเต็มที่กับงานชุดใหม่ ในส่วนของชื่ออัลบั้ม Infinity On High นั้น มีที่มาจากจดหมายที่ Vincent Van Gogh จิตรกรชื่อดังเขียนถึงน้องชายในปี 1888 ในจดหมาย Van Gogh บรรยายถึงพลังงานของเขาที่ถูกสูบฉีดเข้าไปในเนื้องานซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากใบตรวจโรคของเขา โดยเฉพาะประโยคที่กล่าวว่า “ให้ระวังดวงดาวและท้องฟ้าที่สูงขึ้นไปไม่มีที่สิ้นสุด และนั่นเองที่ชีวิตจะดูเหมือนมีเสน่ห์อันน่าหลงใหล”
..................................................................................
ซิงเกิ้ลแรก “This Ain’t A Scene, It’s an Arms Race” เพลงชื่อยาวๆ กับคอรัสที่เป็นการร้องแบบพั้งก์ร็อคสุดโต่งบวกกับจังหวะดนตรีที่กระแทกกระทั้นขนาดทำผงกหัวและกระทืบเท้าไปพร้อมๆ กันได้ Wentz อธิบายว่า นั่นคือกลิ่นอายของดนตรีฟั้งก์ยุค 70 มิกซ์กับ Take This To Your Grave เพลงในปี 2003 ของพวกเขาที่เปิดตัวครั้งแรกในงาน American Music Awards จากนั้นไม่นานก็ไต่ขึ้นชาร์ต Billboard Pop 100 airplay ทันที
..................................................................................
ชุดนี้ยังคงเป็นโปรดิวเซอร์คนเดิม Neal Avron ที่ทำให้ชุดที่แล้ว ที่แปลกก็คือการร่วมงานกับ Babyface โปรดิวเซอร์ R&B ชื่อดัง ที่ส่งผลให้ต้องร้องด้วยพลังเสียงสูงและกว้างมีความเป็นโซลมากกว่าเดิม ไอเดียของอัลบั้มนี้ก็คือใครที่ซื้อไป จงเอามันกลับบ้านแล้วเปิดฟังซะท่ามกลางความมืดมิด
“พวกเรารักเพลงทุกเพลงที่เราเล่น และบางครั้งมันก็ทำให้เรารู้สึกว่า มันถ่ายทอดถึงคนฟังได้อย่างจริงใจ นี่แหละคือตัวตนของพวกเราที่เป็นมาโดยตลอด เรารู้สึกเป็นหนี้แฟนๆ และจะต้องให้สิ่งดีๆ กลับคือแก่พวกเขา” …Wentz กล่าวทิ้งท้าย
..................................................................................
ข้อมูลจาก Universal เรียบเรียงโดย FF>>
..................................................................................