April 28, 2007

Dolores-The Cranberries กับอัลบั้มชุดแรก


ต้นแบบปาล์มมู่!!! นักร้องนำวง The Cranberries ที่นักร้อง-นักแต่งเพลงสาวสัญลักษณ์ของวงขอใช้คำว่า taking a break ต่างคนต่างแยกย้ายไปทำในสิ่งที่ตัวเองรักทางใครทางมัน จากวันนั้นถึงวันนี้ก็กว่า 5 ปีเข้าไปแล้วทิ้งไว้แต่คอลเลคชั่นรวมฮิตให้แฟนๆ ได้ซื้อเก็บเป็นเจ้าของเพลงดัง Dreams, Linger,Ode To My Family และ>> Zombie ที่ถูกนักร้องตามผับ-คนกลางคืนบ้านเราเอาไปร้องจนฮิตเข้าขั้นเอียน
>>>>>>>>>>>
วันนี้ Dolores O' Riordan ในวัย 35 ปี หลายปีที่ผ่านมากับการเก็บตัวเป็นแม่บ้านให้สามีอดีตทัวร์เมเนเจอร์วง Duran Duran เลี้ยงลูก 4 คนที่แคนาดา ใช้เวลากว่า 4 ปี กว่าจะได้ฤกษ์ออกอัลบั้มโซโล่ของตัวเอง ที่ฟังยังไงก็แนว Cranberries เด๊ะๆ กับอัลบั้มที่ตั้งชื่อซะยียวนว่า Are You Listening? >>>>>>>>>>





~~ตัวจิงสภาพที่แท้จริงเมื่อครั้งมาเยือนเมืองไทย~~
คลิปโชว์เพลง
...............................................................
คลิปเพลง Linger สุดประทัปใจจาก Ost.Click
คลิปเพลง Ordinary Day ซิงเกิ้ลแรกจากอัลบั้มโซโล่
คลิปเพลง Zombie อมตะนิรันดรกาล
...............................................................

#### talking about First Solo Album "Are You Listening?"
>> ชัวร์ป๊าปว่าหลายคนคงเป็นแฟน นักร้องสาวชาวไอริส สัญลักษณ์แห่งวง The Cranberries ที่โด่งดังคับชาร์ตไปทั่วโลกต้นยุค 90 กับอัลบั้ม Everybody Else Is Doing It, So Why Can't We?ที่มีเพลงดังอย่าง Linger, Dream และ No Need To Argue กับเพลงฮิตตอกย้ำความสำเร็จทั่วโลกกับ Zombie และ Ode To My Family ตามด้วยอีก 3 อัลบั้มกับหนึ่งรวมฮิต Dolores กับงานที่เธอบอกว่าเป็นตัวของตัวเองสุดๆ ไม่มีแรงกดดัน และถือเป็นการเริ่มต้นใหม่หลัง The Cranberries ที่ยังไม่ถือว่าปิดฉากจบตำนานซะทีเดียว

>> งานเพลงชุดนี้ ได้แรงบันดาลใจมากจากประสบการณ์ส่วนตัวทั้งด้ายมืดและสว่าง เน้นไปที่คอร์ดสวยๆ และที่เห็นได้ชัดเจนคือ เสียงร้องอันเป็นเอกลักษณ์ของ The Cranberries เอง ที่ยังคงอยู่ กับกลิ่นอายของโฟล์คที่หนักแน่นและทรงพลัง ได้โปรดิวเซอร์คือ Youth ที่เคยทำเพลงกับ The Verve, Embrace,Primal Scream,U2 มาร่วมงานในอัลบั้มที่ใช้เวลาแต่งเพลงและบันทึกเสียงกว่า 4 ปีด้วยกัน

"อัลบั้มนี้เป็นเหมือนการกระตุ้นชีวิตของฉันให้มีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้ง" กว่าสิบปีผ่านไป นับตั้งแต่วันที่เธอเข้าสู่วงการเพลงตั้งแต่อายุ 18 "เป็นการเดินทางที่ฉันทำมันจบลงอย่างสมบูรณ์ เสมือนกับการก้าวข้ามสะพานไปยังดินแดนใหม่อันยอดเยี่ยม และรู้สึกได้ถึงการยอมรับ...มันช่างเป็นช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นที่จะออกงานดนตรีอีกครั้งด้วย" ...รับรองว่าใครที่เป็นแฟน The Cranberries ซื้อโซโล่ชุดนี้ของเธอไป รับรองไม่ผิดหวังแน่นอน ถ้าชอบ Zombie ในอัลบั้มรู้สึกจะมีเพลงกระชากวิญญาณแนวๆ นี้อยู่เพลงนึงด้วยนะ เจ๊โดเธอบอกมา ถึงเจ๊แกอาจจะไม่สาว ไม่ cool ผมไม่เฟี้ยว เหมือนตะก่อน แต่เรื่องน้ำเสียงอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะและลีลาล่ะก็!!! ลูก 4 บวกตีนกา 4 แฉก และทรงผมป้าๆ ก็ยังโออยู่ล่ะจ้าาาา

กิจกรรม Dolores แจกของรางวัลสำหรับชาว FF>>
1.โปสเตอร์ พร้อมลายเซ็นเมื่อครังมาเยือนเมืองไทย 1 แผ่น
2.แพ็คเกจกล่องเหล็กสุดหรูใส่ซีดี + ซีดีอัลบั้มเต็ม 2 กล่อง
3.ซีดีอัลบั้มเต็ม 3 แผ่น
>>>>>>>>>>>>>
กติกา
บอกชื่อ Log-in ที่อยู่และเบอร์โทร
ตอบคำถามว่า
1.สาวคนนี้คือนักร้องนำวงอะไร
2.เพลงอะไรที่ทำให้คุณรู้จักเธอล
3.รู้สึกยังไงที่ได้ฟังซิงเกิ้ลแรกจากอัลบั้มโซโล่
ส่งมาที่อีเมล์ melittlep@gmail.com ระบุชื่อเกมส์ Dolores จ้า

April 20, 2007

Linkin Park กับทิศทางดนตรีไม่หยุดกับที่ Minute To...


Game ชิงของพรีเมี่ยมจากอัลบั้ม มีแจกสำหรับสมาชิกชาว FF>>ที่นี่
" คลิก ชมภาพบรรยากาศงานเปิดอัลบั้มที่นี่"
.................................................
Warner Music Thailand ใจดีมีของมาแจก แม้สมาชิกชาว FF>> จะเคยจิกกัด LP แค่ไหน แต่เราก็รู้ว่าแฟนตัวจริงจำนวนไม่น้อยเมือนกันที่เป็นสมาชิกของที่นี่และแฝงตัวมาเล่น อัพเดทข่าวคราววงการเพลงสากลเรื่อยๆ จาก link แฟนคลับ LP จำนวนมากมาย อัพมั่งไม่อัพเลยที่ link อยู่ในเว็บนี้ แต่เกมส์ของเราก็ยังคงทำตามกติกาเดิมคือ
.........................................................
- บอกชื่อสมาชิก Log-in ที่เล่น ชื่อ-นามสกุล อายุ ที่สามารถใช้บัตรประชาชนยืนยันรับของรางวัล พร้อมที่อยู่และเบอร์โทร
- ตอบคำถาม ดังต่อไปนี้
...........................................................
1.งานเปิดตัวอัลบั้ม Minute To Midnight มีวงอะไรที่มี LP เป็นไอค่อน มาเล่นในงาน 3 วง
2.อัลบั้ม MTM มีใครเป็นโปรดิวเซอร์ คำตอบมีอยู่ 2
3.บอกเหตุผลสั้นๆ ไม่เกิน 2 บรรทัดว่าทำไมของรางวัลเหล่านี้ถึงต้องเป็นของคุณ
4.ระบุของรางวัลที่อยากได้ อันดับ 1........อันดับ2......
กรณีที่อุดหนุนอัลบั้มลิขสิทธิ์ชุดนี้แล้ว ราคา 399 บาท เท่านั้น กับแพ็คเกจพร้อมบุคเลทน่าเก็บสะสมมากมาย แต่......ถ้าดันมี special - รีเพคเกจ ออกมาอีก(ตามฟอร์ม) อันนี้ก็ซื้ออีกล่ะจ้ะ ถ้าคุณน้องเป็นแฟนพันธุ์แท้
..........................................................
.............................................
ของรางวัลสุดเท่สำหรับสาวก
1. ทีเชื้ต ข้างหน้าเหมือนในรูป ข้างหลังเป็นโลโก้อัลบั้ม Minute To Midnight ไซส์ M = 2 รางวัล
2.wristband ใส่ได้ 2 ด้าน เหมือนในรูป อีกด้านสกรีนคำว่า Linkin Park = 10 รางวัล เท่มั่กๆ น้องเอ๊ย

3.ซีดีอัลบั้ม Minute To Midnight = 3 รางวัล


ส่ง email มาที่ melittlep@gmail.com อ่านกฏกติกา ดีๆ นะจ๊ะ ภายในวันที่ 15 มิถุนา




Artist : Linkin Park
ได้ฤกษ์เผยโฉมอัมบั้มชุดนี้ ให้ฟังกันเต็มๆ ไปแล้ว สำหรับวันวางแผงทั่วโลก 15 พฤษภาที่ผ่านมา
สตูดิโออัลบั้ม No. 3 Linkin Park กับอัลบั้มที่ใช้ชื่อว่า 'Minutes to Midnight' หลังจากปล่อยให้รอเกือบๆ 4 ปีเช่นเคยกับทุกครั้งที่มีงานใหม่ออกมา LP ไม่เคยทำให้แฟนๆ ผิดหวัง ช่างสรรหาอะไรใหม่ๆ ใส่เข้ามาอัพเดทงานเพลงของพวกเค้ามาโดยตลอดชุดนี้ก็เหมือนกัน ทางวงใช้เวลา กว่า 14 เดือน ในสตูดิโอ ปลุกปั้นคัดเพลงกว่าร้อยเดโม จนมาเป็นอัลบั้มนี้ได้ Rick Rubin โปรดิวเซอร์ชื่อดังแห่งยุคที่คอร็อคคุ้นชื่อกันที มาเป็นโปรดิวเซอร์ Co-produced โดยพี่ Mike Shinoda ที่บอกได้แค่ว่า ไม่ใช่ rap-rock ธรรมดาแน่นอน
>>>>>>>>>>>>>>>
..."เราไม่เคยทุ่มเทกับชุดไหนเท่ากับอัลบั้มนี้เลย"...Dave มือเบสของวงกล่าว
สำหรับชื่ออัลบั้มนี้ Mike Shinoda เล่าว่ามันมีความหมายเป็นนัยสองความหมายซ้อนกันอยู่ ..."ความหมายที่แท้จริงของมันก็คือการนับถอยหลังวันโลกาวินาศ การประกาศวันสิ้นโลก เป็นอุปมาอุปไมยถึงความตายและการเกิดใหม่ แต่อีกทางผมก็สื่อไปถึงบุคคลในวงการเพลงทั้งหลาย ประเภทหน้าไหว้หลังหลอกอย่างที่รู้ๆ กัน เราเขียนมันในวิธีที่ต่างออกไป ใช้เครื่องดนตรีและอุปกรณ์ที่ไม่เคยใช้มาก่อน ตั้งแต่กีตาร์ยันแอมป์สไตล์ดั้งเดิมจนถึงเสียงเมลโลทรอนและดรัม แมชชีน รุ่น 808 ดั้งเดิมของ Rick Rubinที่ใช้ตอนงานชุดแรกของ Beastie Boys มาแล้ว เราพยายามตั้งคำถามในทุกๆ ความท้าทายตลอดกระบวนการสร้างสรรค์ดนตรี"... ซึ่งตัว Rick เองก็ชื่นชมกับงานชุดใหม่ของ LP เหมือนกัน
....."พวกเขาพยายามข้ามขีดจำกัดของตัวเอง มันจะไม่มีซาวด์แค่แร็พ-ร็อคอีกแล้ว พวกเค้ามีการเขียนเพลงที่แข็งมากๆ ตัวโน้ตพรั่งพรู...เป็นโปรเกรสซีฟ"... โปรดิวเซอร์มือทองแห่งยุคกล่าว
>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>

บทสัมภาษณ์ Chester in KL press conference
>>>>>>>>>>>>>>>>>>>
หนังสือพิมพ์ Harian Metro ได้ลงบทสัมภาษณ์ของ Chester จากงานแถลงข่าวที่ Kuala Lumpur โดย Chester ได้เดินทางมาถึงพร้อมกับภรรยาและลูกชาย และนี่คือรายละเอียดจากบทสัมภาษณ์
## เพลงทั้งหมด 12 เพลง จะมีอยู่ 3-4 เพลงที่ยังคงมีซาวด์ในแบบฉบับของ Linkin Park
Chester เล่าว่า ทางวงใช้เวลานานมากเพื่อคิดและผลิตงานที่มีซาวด์ใหม่ๆ และแตกต่างไปจากเดิม ..."มันเป็นการตัดสินใจอย่างมีสติที่จะทำให้ซาวด์ในอัลบั้มนี้แตกต่างไปจากอัลบั้มเก่าทั้ง Hybrid Theory และ Meteora เราไม่ต้องการที่จะให้ดนตรีของเรายึดติดอยู่กับแนวเพลงแบบใดแบบหนึ่ง และด้วยอัลบั้มนี้ เราอยากที่จะกระโดดออกจากกล่องสี่เหลี่ยม ส่วนประกอบสำคัญที่เป็น Linkin Park ยังคงอยู่ เพียงแค่ถูกนำเสนอออกมาในแนวทางที่ต่างออกไปจากเดิม"...
## แฟนๆ จะเห็นได้ว่าความเป็นแร็พในอัลบั้มใหม่จะน้อยลง
"Mike ได้ใช้ความกล้าหาญที่มีอยู่ เพื่อก้าวเข้าสู่การร้องนำในเพลงแนวบัลลาดที่ชื่อ 'In Between ' การที่ความเป็นแร็พในอัลบั้มใหม่หายไป เป็นความบังเอิญ และไม่ได้ถูกกำหนดมาก่อนล่วงหน้า เมื่อตอนเริ่มต้นทำอัลบั้มในระหว่างการเขียนเพลง Mike เขียนเพลงมี melody เจ๋งๆ ขึ้นมาหลายเพลง และเพลงๆ นี้ก็ฟังดูดีกว่าเมื่อ Mike ร้องแทนที่จะแร็พ ดังนั้นพวกเราก็เลยตัดสินใจกันว่า Mike ควรจะเป็นคนร้องเพลงนี้ เพราะเค้าเป็นคนเดียวที่จะสามารถสื่อความหมายของเพลงออกมาได้อย่างชัดเจนที่สุดและมันก็เป็นเช่นนั้น เสียงอันไพเราะของเค้าทำให้เพลงๆ นี้สมบูรณ์แบบ"
## ความเปลี่ยนแปลงทางด้านภาพลักษณ์
"พวกเราไม่ใช่เด็กๆ วัยทีนกันอีกต่อไปแล้วและเราก็รู้สึกสบายขึ้นกับภาพลักษณ์แบบร็อค" (คงจะประมาณว่าไม่ขัดเขินแล้วนั่นเอง หุหุ) โปรแกรมเวิลด์ทัวร์กำลังอยู่ในระหว่างการเตรียมการ ซึ่งก็จะรวมไปถึง South America, South Africa และ Europe (และก็น่าจะรวมถึงบ้านเราในปลายปีนี้ด้วย ถ้าระเบิดจะไม่ระเบิดตูมตามหนักข้อขึ้นอีก)
>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>
เรียกว่ามาแรงใช่เล่น สำหรับการกลับมาในครั้งนี้ เพราะแค่เปิดตัวเพียงหนึ่งอาทิตย์ What I ' ve done ซิงเกิ้ลแรกจากอัลบั้ม Minutes to Midnight ก็สามารถไต่อันดับขึ้นถึง7 ใน Billboard Chart!! รวมถึง อันดับ 1 ใน Modern Rock Track chart !! และอันดับ 4 ใน Hot Digital Songs chart ซึ่งมีการdownload ใน iTunes ไปกว่า 100,000 ครั้งแล้วจ้า
" คลิกไปชมเอ็มวี What I've Done"




***** นิตยสารที่คอนเฟิร์มมาแล้วว่า Linkin Park ขึ้นปก*****
- Music Express วางแผงกลางเดือนนี้
(เล่มนี้ เว็บไซต์ของพวกเรา ได้ลงแนะนำในเล่มด้วย มีแอบแซวน้องๆ ในบอร์ดเล็กน้อย)
- Guitar- Mag ต้นเดือนหน้า
( บริษัทเก่าที่เคยทำ FF>> และ Yearbook นี่เอง ข้อมูลเพียบ ซึ่งพี่ FF>> ไปช่วยเพิ่มเติมข้อมูลใหม่ๆ จากอัลบั้มนี้ด้วยจ้า)
.......ต้นเดือนหน้าอย่าลืมมองหาทั้ง 2 เล่มนะจ๊ะ

April 15, 2007

ลูกใครหว่า เบบี๋ที่น่ารักที่ซู้ดในฮอลลีวู้ด


^ ครอบครัวอบอุ่น


ซ้ายล่าง-น้อง Suri ลูกพ่อ Tom-Katie / กลาง น้อง Baron ทายาทตระกูล Trump / ขวาสุด น้อง Sean ลูกแม่ Britney



ซ้าย-น้อง Kington ลูกแม่ Gwen / บนดำปื้ดหนูน้อยชาวอาฟริกันวัย 13 เดือน David Banda ลูก Adopt ตามกระแสของพ่อ Guy แม่ Madonna / กลางล่างน้อง Shiloh ลูกแม่ Jolie-Pitt /ขวาสุด น้อง Violet ลูกแม่ Jen-Ben

***อันว่าตำแหน่งเบบี๋ที่น่ารักที่สุดในฮฮลลีวู้ดไม่มีรางวัลให้ กรุณาใช้สายตาพินิจตัดสินเอาเอง อันนี้ใครจะยึดพ่อแม่เด็กเป็นหลักก็อีกเรื่อง ของพี่ให้น้อง Shiloh ไปเลยจ้ะ ใครบอกว่าพ่อแม่หล่อสวยแล้วลูกจะขี้เหร่อันนี้ ไม่จิงแน่นอน โฮ่ะๆๆๆ

Mel C กลับมาพร้อมอัลบั้ม No. 4 ดั๊นอยากกินลูกกวาด




Artist : Mel C (Melanie Chisholm)
Label : ทำค่ายเองไม่มีค่ายใหญ่หนุน red girl records
ชุดที่ 4 แล้วจ้า เพิ่งจะวางขายที่ UK. ไปเมื่อ 2 เมษาที่ผ่านมานี่เองสำหรับอัลบั้มมาแบบเงียบๆ โนแบ็คใหญ่คอยหนุนใช้ชื่อว่า This Time ที่อันดับปลายแถว#57 UK นู่น ปล่อยออกมาแล้ว 2 ซิงเกิ้ลต่างสถานที่ขายทั้ง The Moment You Believe และ I Want Candy เลือกตัดที่อังกฤษ(#24UK) เพลงเดียวกับที่เราเคยได้ยินเจ้าหนู Aaron Carter สมัยชุดแรก ๆร้องแหละหนู ต้นฉบับดั้งเดิมเป็นของ The Strangeloves
.....................................................
ชุดนี้ Mel C ลงทุจ้างมาร่วมงานมากมายที่ชื่อคุ้นหูดูแล้วอื้อฮือหน่อยก็กับ Guy Chambers และ Cathy Dennis อย่าได้ถามเลยว่าชีเลือกเพลงนี้มาร้องทำไม ก็เพราะมันรวมอยู่ในซาวนด์แทร็คหนังชื่อเดียวกับเพลงนี่แหละจ้า ต่อไปก้อมี "Carolyna" release ที่อังกฤษเดือน June นู่น

น้านิด Alanis Morissette คัฟเว่อร์ My Hump


Artist : Alanis Morissette
Single : My Hump
เด็กสมัยนี้ ดูเผินๆ อาจหลงนึกไปว่า ยัย Lily Allen ทำซ่าส์อะไรอีกเนี่ย เอาเป็นว่าคอเพลงสากลที่อายุอานาม 20 อัพ(เอหรือมากกว่านั้นหว่า) ขึ้นไปต้องรู้จักป้านิด Alanis แกแน่ๆ อันที่จิงแกก็ไม่แก่นะ ความที่เห็นแกทำแก่มานาน รู้อายุก็ร้องจ๊าก เพิ่งจะ 33 เอง ร้องเอง แต่งเอง โปรดิวซ์เอง อัลบั้ม "Jagged Little Pill" ขายไปมากกว่า 30 ล้านก็อปปี้ บันทึกสถิติ "best-selling debut album of all time" โดยศิลปินหญิง
..................................................
พักหลังดูซาๆ หายหน้าไปกว่า 2 ปี น้านิดมีเพลงใหม่มาให้เหวอกัน เม้าธ์กันฮาๆ อาจคิว่าน้าแกเพี้ยนไปแล้วหรือไรคะทั่น ริหยิบเพลงดัง My Hump ของสาว Fergie/BEP มาร้องใหม่ทำดนตรีใหม่ แถมทำมิวสิคล้อเลียนซะด้วย แว่วมาว่าเจ้าเอ็มวีนี้สัปดาห์แรกก็มีคนเข้าไปดูกว่า 5 ล้าน พร้อมกระแสเสียงตอบรับในทางบวกถ้าฟังแต่เพลง My Hump เนื้อเดิมแต่เป็นเพลงช้าแนวๆ Alanis Morissette ที่คุ้นเคยอ่ะนะ ยังอยู่ในช่วงทำอัลบั้มใหม่ออกมาให้ฟังกันอยู่เลยจ้า

April 9, 2007

The Rakes วง Art/rock/Punk ขวัญใจดีไซน์เนอร์




Artist : The Rakes
Album : Ten New Messages
Label : Platinum
เรื่องก็มีอยู่ว่าทางค่ายแพลตินั่ม ต้นสังกัดที่ถือได้ว่ารวมเอาเหล่าอินดี้มาไว้ค่ายนี้เค้าเชื้อเชิญให้ไปฟังๆ รู้จักศิลปินเค้าหน่อย นอกจาก Arctic Monkeys, น้า Brett Anderson จาก Suede เจ๊โด Dolores O' Riordan เจ้าของเพลง Zombie, Odd To My Family, Linger etc. ที่มีคิวจะเดินทางมา Press con พบสื่อโปรโมทอัลบั้มโซโล่ของเจ๊เค้าปลายเดือนนี้ที่น้องๆ จะได้อ่านงานเขียนจากพี่ Rain_Girls ขวัญใจน้องเตย ชมภาพชมคลิปจากพี่ที่จะเก็บมาฝากกันแล้ว ก็มีอีวงนี้ล่ะค่ะที่รู้สึกถูกชะตา เห็นว่าเกี่ยวกับแฟช่งแฟชั่น แต่งตัวเก๋ไรเงี้ย น่าสนแฮะ
.........................................
ก่อนอื่นคลิกไป myspace ฟังซิงเกิ้ล We Danced Together ให้เห็นภาพกันก่อนเลย"คลิกดิคลิก"
..................................
The Rakes วงจากลอนดอนรวมตัวกันในปี 2004 โดยตั้งชื่อวงจากสุภาษิต ‘skinny as a rake’ อันเป็นการบรรยายลักษณะผอมแห้งของพวกเขา ออกอัลบั้มแรกมาในปี 2005 Capture/Release ไม่ได้มีใครตั้งความหวังว่าพวกเค้าจะดัง ทว่าดนตรีอาร์ตร็อค/พังค์ในแบบของ The Rakes กลับสร้างความประทับใจให้กับสื่อมวลชน นักฟังเพลง ไปจนถึงดาราและนักแสดงมากหน้าหลากตา ซิงเกิ้ลแล้วซิงเกิ้ลเล่าพาเหรดกันขึ้นอันดับชาร์ต อาทิ Strasbourg, Retreat, Work, Work, Work และ 22 Grand Job เป็นต้น
............................................
The Rakes ยังเป็นขวัญใจดีไซเนอร์ ที่ได้รับการชมเชยว่า นอกจากจะทำเพลงดีแสดงสดน่าดูแล้ว เสื้อผ้าที่สวมใส่ยังมีเอกลักษณ์และเป็นผู้นำแฟชั่นได้ หลายต่อหลายครั้งจึงได้รับเชิญให้เลือกเพลงสำหรับการเดินแฟชั่น รวมไปถึงหลายเพลงที่เป็นผลงานของพวกเขาก็ถูกนำไปใช้ด้วย ซึ่งนั่นก็รวมถึงเพลง The World Was A Mess, But His Hair Was Perfect เพลงเปิดในอัลบั้มใหม่ชุดที่สอง Ten New Messages ที่ห้องเสื้อดิออร์สำหรับผู้ชาย นำไปเป็นเพลงประกอบหลักในความยาวเต็ม 15 นาที (บรรรจุในอัลบั้มนี้เป็นฉบับสั้น) และก็ไม่ใช่เพลงนี้เพลงเดียว ซิงเกิ้ลแรกของอัลบั้ม We Danced Together เองก็เป็นเพลงเปิดตัว หรือ Little Superstitions ก็แสดงให้ถึงความแตกต่างระหว่างอัลบั้มที่แล้วกับอัลบั้มใหม่ รวมถึงชี้ให้เห็นการเติบโตทางดนตรีของพวกเค้าด้วย ขณะที่เพลงล้อเลียนสังคมหรือการใช้ชีวิตอย่างที่ได้ฟังกันจากอัลบั้มที่แล้ว ก็ยังคงอยู่ในอัลบั้มนี้ โดยตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือเพลง When Tom Cruise Cries
........................................................
อัลบั้มนี้ยังได้โปรดิวเซอร์จอมยุทธ์มาร่วมทำงานถึงสองคน ได้แก่ จิม แอบบิส (Arctic Monkeys, Kasabian, Editors) และเบรนแดน ลีนช์ (Primal Scream) ทำให้ยิ่งมั่นใจได้ว่า Ten New Messages ของพวกเค้า ต้องมีดีมาฝากอีกแล้วแน่นอน
>>>>>>>>>>
Alan Donohoe - Vocals
Jamie Hornsmith - Bass
Lasse Petersen - Drums
Matthew Swinnerton - Guitar
>>>>>>>>>>>
- อัลบั้ม Ten New Messages #38 UK.
- ซิงเกิ้ล We Danced Together #38 UK.

Arctic Monkeys โดนจังๆ กับซิงเกิ้ล Brianstrom




Artist :Arctic Monkeys
label : Platinum
(ซ้ายไปขวา) Alex Turner/กีต้าร์-ร้องนำ, Jamie Cook, Matt Helders , Nick O'Malley
>>>>>>>>>>>>>>>>>
เชื่อแน่ว่า หลายคนชาว FF>> คงต้องคุ้นกับวงชื่อนี้ ประมาณว่า
"วงจากอินดี้ร็อคจากอังกฤษ ดังว่ะ ดังได้ไง? เพลงก็โอนะ แต่ดังได้ไง? สื่อพูดถึง เค้าบอกวงนี้น่าจับตาไรเงี้ย"
...เออ เอาไงก็เอา เอาเป็นว่าเจ้าวงนี้ พลพรรคลิง Arctics เค้าออกอัลบั้มชุด 2 มาแล้ว ใช้ชื่อว่า Favourite Worst Nightmare ซิงเกิ้ลแรกฟังง่ายกว่าชุดที่แล้วเยอะ แบบฟังครั้งแรกก็ติดหูเลยแหละมีชื่อว่า "Brainstrom"(อ่านว่าไบรอันสตอร์มจ้ะ)
>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>
Arctic Monkeys Games
วางแผงไปแล้วเรียบร้อยโดยต้นสังกัดแพลตินั่มเมืองไทย ที่ได้ศิลปินร็อคอินดี้ตัวดีๆ มาอยู่ในมือมากมาย ยิ่งครั้งนี้ได้อัลบั้มชุดที่ 2 ของวงที่น่าจับตามองอย่าง Arctic Monkey มาอยู่ในมือแบบกะขายเน็ตๆ ครั้งนี้จึงขอทุ่มสู้ผีกับเพคเกจและของแถมที่เห็นแล้วต้องบอกว่า cool มั่กๆ ค่ะคุณน้องขา และส่วนนึงที่ว่า FF>> ก็มีมาแจกสำหรับสมาชิกบอร์ดคอเพลงสากลอย่างพวกเราด้วย
>>>>>>>>>>>>>>>>>>
ของรางวัลสไตล์ลิงๆ Arctic Monkeys
1. ทีเชิ้ตอย่างเท่สีดำ สำหรับผู้ชาย 1 รางวัล
2.สายห้อยโทรศัพท์ 2 รางวัล
3.เซ็ทเข็มกลัด 4 แบบ 4 ชุด
4 ซีดีอัลบั้ม Favourite Worst Nightmare 3 รางวัล
>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>
ตอบคำถามดังต่อไปนี้
1. Arctic Monkeys ออกอัลบั้มมาแล้วกี่ชุด? ชื่อย๊าวๆ ว่าอะไรบ้าง?
2. Arctic Monkey ได้รับรางวัล Brit Awards 2 ปี ซ้อน สาขาอะไรบ้าง
3. บอกมาสั้นๆ ถึงที่มาว่า...อะไรที่ทำให้คุณรู้จัก Arctic Monkey?
>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>
กติกา
- บอกชื่อสมาชิก Log-in ที่เล่น ชื่อ-นามสกุล อายุ ที่สามารถใช้บัตรประชาชนยืนยันรับของรางวัล พร้อมที่อยู่และเบอร์โทร
ส่งมาที่เมล์ melittlep@gmail.com ระบุเกมส์ Arctic Monkeys ก่อนวันที่ 15 มิถุนายนนี้
>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>
จากการขอกีต้าร์เป็นของขวัญในเทศกาลคริสต์มาสของอเล็กซ์และเจมี่ ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่าพวกเขาจะมาไกลถึงขนาดนี้ ทั้งคู่ตั้งวงกับอีกสองหนุ่มเพื่อนร่วมโรงเรียน แมต และแอนดี้ (มือเบสคนเก่า) ในปี 2002 และเริ่มตระเวนทัวร์ในละแวกเชฟฟิลด์เมืองเกิด คอนเสิร์ตแรกคือที่ผับ The Grapes วันที่ 13 มิ.ย. 2003 จากนั้นก็เริ่มทำเดโมและเบิร์นแจกตามคอนเสิร์ตที่พวกเขาขึ้นแสดง คุณงามความดีของการแสดงสดและเพลงเดโมของพวกเขาถูกเล่าขานกันปากต่อปาก การทัวร์ของวงหนุ่มวัยเกระเตาะเริ่มแผ่ขยายจากละแวกบ้านเป็นนอกเมือง จากนอกเมืองสู่เมืองใหญ่ ระหว่างนั้นเพลงในเดโมของพวกเขาก็แพร่สะพัดให้ดาวน์โหลดทางอินเตอร์เน็ต Arctic Monkeys จึงถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งวงของศิลปินยุคใหม่ ที่ชื่อเสียงอันโด่งดังของพวกเค้าไม่ได้พึ่งพาระบบธุรกิจแต่แรก
................................................
เดือนพฤษภาคม 2005 อีพี Five Minutes with Arctic Monkeys ที่มีเพลง Fake Tales of San Francisco และ From the Ritz to the Rubble รวมอยู่ด้วย จำนวนจำกัดเพียง 1,500 แผ่น ขายหมดในเวลาอันรวดเร็ว ทั้งที่ยังไม่มีค่ายเพลงสนับสนุน โดยทางวงให้สาเหตุกับการไม่เซ็นสัญญากับค่ายใดว่า เพราะพวกเขาไม่อยากโดนผูกมัด และไม่อยากให้ใครมีส่วนกำหนดทิศทางดนตรีนอกจากตัวพวกเขาเอง ภายหลังจึงตัดสินใจเซ็นสังกัด Domino ในเดือนต่อมา เพราะนับถือทัศนคติของเจ้าของสังกัด ลอว์เรนซ์ เบล ที่ถือคติว่าจะเซ็นสัญญากับวงที่ตัวเองโปรดปรานเท่านั้น ทั้งยังสนับสนุนระบบการทำงานแบบ DIY ซึ่งจะไม่เข้าไปเกี่ยวข้องแต่อย่างใดด้วย
...............................................
I Bet You Look Good on the Dancefloor และ When the Sun Goes Down 2 ซิงเกิ้ลจากอัลบั้มแรก Whatever People Say I Am, That's What I'm Not ขึ้นอันดับที่ 1 UK ตัวอัลบั้มก็ขึ้นอันดับ 1 ในหลายประเทศทั่วโลก ทำให้พวกเขาต้องออกทัวร์อย่างไม่หยุดพัก และทัวร์ที่สำคัญก็คือ การทัวร์อเมริกากลางปี 2006 โดยเป็นวงเปิดให้กับ Oasis การทัวร์อเมริกาครั้งนี้ ทำให้ Arctic Monkeys กลายเป็นวงลูกรักจากเกาะอังกฤษของถิ่นนลุงแซมไปในชั่วพริบตา จนทางวงต้องกลับไปเปิดทัวร์อเมริกาอีกรอบ
.....................................................
แต่การทัวร์อย่างหนักก็ส่งผลให้แอนดี้ มือเบส ขอลาออกจากวงเพื่อไปพักผ่อน Arctic Monkeys จึงดึงนิคเข้ามาแทนที่ และเริ่มบันทึกเสียงในอัลบัมใหม่ Favourite Worst Nightmare ซึ่งการทำงานในอัลบัมนี้นั้น อเลกซ์เล่าว่า เป็นการทำงานที่ต่อยอดมาจากเพลงในอัลบั้มแรกๆ แต่ก็ยังเผยด้านอ่อนโยนให้เห็น ซึ่งเป็นข้อแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด เมื่องานชุดนี้มีเพลงช้าเข้ามาผสม...... “อย่าเพิ่งคิดว่าเราไม่สนุกกันแล้วสิคับ เราแค่อยากทำอัลบั้มที่น่าตื่นเต้น สำหรับผมไม่จำเป็นหรอกว่าเราจะต้องทำอัลบั้มที่ฟังแล้ว เฮ้ย.. โตขึ้นนี่นา”... นั่นคือสิ่งที่อเลกซ์เน้นย้ำ
.................................................
ซิงเกิ้ลแรกBrianstorm เสียงกลอง กีตาร์ เลส และจังหวะอันหนักหน่วงของอินดี้ร็อคขนานแท้แบบละเอียดละออและสมบูรณ์แบบ ถูกรวบรวมมาไว้ในเพลงนี้ จนคนฟังได้แต่อึ้ง ขณะที่เพลงอื่นๆในอัลบั้มก็แสดงจุดยืนที่โดดเด่นไม่แพ้กัน หากจะต่างรสชาติ ต่างอารมณ์ออกไป เพื่อความท้าทายและน่าตื่นเต้นในการฟัง เช่นที่อเลกซ์บอก และเราก็สัมผัสได้ชัดเช่นเดียวกัน ตั้งแต่ D is for Dangerours เพลงแหล่งกำเนิดของชื่ออัลบั้ม ไปจนถึง Flourescent Adolescent ที่ท่วงทำนองใกล้เคียงกับ Mardy Bum ไปจนถึงเพลงบัลลาดแสนหวานเพราะจับใจเช่น The Only Ones Who Know ทว่าอเลกซ์แอบหยอดว่า “เนื้อเพลงมันไม่ได้หวานขนาดนั้น” แล้วจะหวานขนาดไหน บอกเล่าเรื่องใด เพลงอื่นๆ หนักแน่น เข้มข้น หรือว่าอ่อนโยนเช่นไร
มองหาตามแผงได้ กับแพคเกจสุดอลังผีไม่สามารถเลียนแบบและไม่คิดจะเลียนแบบ แถมเข็มกลัด 4 อัน กะ 2 สติ๊กเกอร์ เอาไปทำเก๋ได้เลย
>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>
- Whatever People Say I Am, That's What I'm Not อัลบั้มแรกทำสถิติเป็นอัลบัมที่ขายเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ของเกาะอังกฤษ โดยทำยอดขายในสัปดาห์แรกสูงถึง 363,735 แผ่น และขึ้นอันดับ 1 อัลบั้มชาร์ตติดต่อกัน 4 สัปดาห์ ปัจจุบันมียอดขายระดับ 3 แผ่นเสียงแพลตินั่ม กว่า 1 ล้านแผ่นเฉพาะเกาะอังกฤษ และกว่า 2 ล้านแผ่นสำหรับยอดขายทั่วโลก อัลบั้มยังคงอยู่ในชาร์ตอังกฤษติดต่อกันมากว่า 50 สัปดาห์
- จากอัลบั้มแรก มีซิงเกิลขึ้นอันดับ 1 UK. สองเพลง คือ I Bet You Look Good on the Dancefloor และ When the Sun Goes Down
- ซิงเกิ้ลแรก Brianstorm ได้ชื่อมาจากชายนิรนามที่พวกเขาเจอระหว่างออกทัวร์ในอัลบั้มที่แล้ว และทุกคนในวงให้คำจำกัดความว่า “เพี้ยนจนลืมไม่ลง” และเป็นแรงบันดาลใจให้อเลกซ์เขียนเพลงนี้ขึ้น
- นิค มือเบสคนใหม่ ที่เข้ามาแทนที่แอนดี้ ที่ลาออกไป (สาเหตุที่แจ้งอย่างเป็นทางการคือ เหนื่อยเกินไปเมื่อออกทัวร์ติดกันนานๆ) เป็นอดีตมือเบสของ The Dodgems วงร่วมเมืองเชฟฟิลด์กับ Arctic Monkeys
- ปี 2006 พวกเขาได้รับรางวัล Best British Breakthrough Act จาก Brit Awards
- และในปีเดียวกัน Best New Band and Best British Band จาก NME Awars 2006
- และBest British Group - Brit Awards 2007 ปีล่าสุด
- Best Albums - NME Awards 2007 จากอัลบั้ม Whatever People Say I Am, That's What I'm Not

April 5, 2007

Bon Jovi พาขาร็อคสู่คันทรี่ย์กลายๆ




Artist : Bon Jovi

Album :Lost Highway(release 19 June)

Label : Universal

2 ปีผ่านไปกับความสำเร็จของอัลบั้มชุดที่แล้ว "Have a Nice Day" (2005) และซิงเกิ้ลฮิตอย่าง Who Says You Can't Go Home และ Welcome To Wherever You Are ที่พลิกร็อคระดับตำนานอย่าง Bon Jovi พาวงเข้าสู่ความเป็นคันทรีย์กลายๆ และความสำเร็จที่ว่านี่เอง ส่งผลมาถึงอัลบั้มชุดนี้ที่ใช้ชื่อว่า “Lost Highway” ที่เข้าสู่ความเป็นคันทรี่ย์มากขึ้น นี่ยังไม่รวมถึงทางวง บันทึกเสียงสตูดิโอเดียวกับที่นักร้องสาวคันทรี่ย์ชื่อดัง Reba McEntire ใช้

...................................................

ซิงเกิ้ลแรก “(You Want To) Make A Memory" ออนแอร์วิทยุไปเมื่อ 20 มีนา รวมไปถึงแผนโปรโมทของน้า Bon ในเรียลลิตี้สุดฮอตอย่าง American Idol 2 พฤษภานี้ ก่อนที่ตัวอัลบั้มจะวางขาย19 มิถุนา โดยอัลบั้มนี้ได้ Dann Huff และ John Shanks ทำหน้าที่โปรดิวเซอร์ ซิงเกิ้ลแรกขึ้นเป็น "Hot Shot Debut" (highest debuting song of the week) ใน Billboard Hot Country Songs Chart อันดับ #39 ไปเรียบร้อยโรงเรียนคันทรี่ย์แบบไม่น่าเชื่อ ส่วนของอัลบั้ม ยังมีแทร็คชื่อเดียวกันคือ Lost Highway ใช้จบเครดิตท้ายเรื่องในหนังเรื่อง Wild Hogs รวมถึงแทร็คเขียนขึ้นมาโดยเฉพาะ We Got It Goin' On สำหรับใช้โปรโมทใน Arena Football League และแน่นอนที่นี่ ก็คลิกไปฟังเพลงซิงเกิ้ลแรกของ Bon Jovi กันเลย การันตีดังอีกตามเคยเจ้าค่ะชุดนี้ สงสัยน้า Bon แกจะมาถูกทาง

พิสูจน์ความเจ๋งของ Mika ดูโชว์ออนไลน์ที่ MSN


ความเก่งของ ‘มีค่า’ แพร่เชื้อไปถึงอเมริกาเรียบร้อยแล้วจ้ะ หนุ่มคนนี้สื่อๆ ต่างๆ ยกให้เขาเป็นสุดยอดป๊อปสตาร์นาทีนี้ นอกจากเพลงฮิตอันดับ 1 Uk อย่าง Grace Kelly แล้วยังมีเพลงที่โดนไม่แพ้กัน ไม่ว่าจะ Love Today หรือ Relax และอีกหลายเพลง จากอัลบั้ม Life In Cartoon Motion "อย่างงี้ต้องพิสูจน์ด้วยการคลิกตาม link นี้ ไปดูคลิปการแสดงของหนุ่มคนนี้กันเลย"

April 2, 2007

Make Me # 1 US - Maroon 5 คัมแบ๊คโดนใจชาวมะกัน





Artist : Maroon 5
Label : Universal
นี่คือวงที่หลายๆ คนรอคอยงานใหม่ของพวกเขา Maroon 5 ร็อคแบนด์น้องใหม่ที่ขึ้นแท่นไปเรียบร้อยทั้งๆ ที่เพิ่งจะมีผลงานออกอัลบั้มชุดแรก Songs About Jane ไปเมื่อปี 2002 กับรางวัลการันตี Grammy Award 2005 สาขา Best New Artist และ 2006 Grammy Award สาขา Best Pop Performance By A Duo Or Group With Vocal เพลง "This Love" จากอัลบั้ม [live record] “Friday The 13th”
...................................................................
หลายปีผ่านไปแว็บๆ ไม่น่าเชื่อ เพราะจะว่าไปอัลบั้มแรกของ Maroon 5 เรียกว่าใช้เวลากว่าจะดังและดังนานข้ามปีกันจริงๆ วันนี้พวกเขากลับมาพร้อมสตูดิโออัลบั้มชุดที่ 2 ใช้ชื่อว่า “It Won't Be Soon Before Long" กำหนดวางขายงานชุดนี้ทั่วโลก 22 พฤษภานี้กับงานดนตรีที่ให้คำจำกัดความในชุดนี้ว่า “sexier and stronger” และแรงบันดาลใจจากดนตรีในยุค 80’ ด้วยศิลปินอย่าง Prince, Shabba Ranks, Michael Jackson และ Talking Heads ส่งซิงเกิ้ลแรก “Make Me Wonder” กับการเปิดตัว ขึ้นโชว์เพลงเอาใจขาโจ๋ที่งาน Kids Choice Awards ไปเมื่อวันที่ 31 มีนาที่ผ่านมา
..............................................................
การกลับมาครั้งนี้ มีการเปลี่ยนตัวสมาชิกผลจากการที่ทางวงออกทัวร์ปีที่แล้วและมือกลอง Ryan Dusick ประสบปัญหาชีวิตส่วนตัว (Rock Life เดาได้ป่ะ) และแขนบาดเจ็บไม่สามารถตีกลองได้ ได้ Matt Flynn มาแทนที่อย่างถาวรตั้งแต่กันยายนปีที่ผ่านมา ซึ่งแน่นอนว่าความสำเร็จทั่วโลกจากอัลบั้มชุดแรกยอดขาย 4.3 ล้านเฉพาะในอเมริกา คงต้องสร้างความกดดันให้กับงานชุดนี้ของพวกเค้าอย่างแน่นอน ไหนจะปัญหาเรื่องสมาชิกในวง การย้ายสังกัดจาก Sony-BMG สู่ Universal Records Group แต่สำหรับสาวๆ ที่เป็นแฟนของพ่อหนุ่ม Adam Levine ล่ะก็ พี่ทั่นยังรับหน้าเสื่อแต่งเพลงส่วนใหญ่ในชุดนี้เช่นเคย รายนามโปรดิวเซอร์ในอัลบั้มนี้ก็มี Mike Elizondo (ที่ทำเพลงให้กับ Fiona Apple, Eminem), Mark "Spike" Stent (Bjork, Keane, Gwen Stefani, Marylin Manson), Mark Endert (อุ๊ยตายพี่อดัมส์ !!! Madonna, Fiona Apple) และ Eric Valentine (กับวงอย่าง Queens Of The Stone Age, )
>>>>>>>>>>>เอาเป็นว่าดีกว่าชุดที่แล้วอ๊ะเปล่า แค่ซิงเกิ้ลแรกก็แรงจัดจนกระชากไม่อยู่แล้ว Maroon 5 ซะอย่าง ชื่อนี้การันตีเจ้าค่ะ
........................................................
Year Single Chart Position ซิงเกิ้ลและอันดับสูงสุดในเมนชาร์ตที่ผ่านมา
2003 "Harder to Breathe" 18(US) 13 (UK)
2004 "This Love" 5(US)3(UK)
2004 "She Will Be Loved"5(US)4(UK)
2004 "Sunday Morning" 31(US)27(UK)
2005 "Must Get Out" 39(UK)
2006 "Make Me Wonder" 1 (US
)

" คลิกไปดูเอ็มวี Make Me Wonder"
" คลิกไปฟังเพลงที่ myspace "